เมื่อวันที่ 1 ตุลาที่ผ่านมา เราได้ไปต่อคิวเพื่อจะเข้าไปชม YSL Museum ที่กำลังจะเปิดใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 3 ตุลาเป็นวันแรก สำหรับวันที่ 1 นั้น เป็นการเปิด Open Houseให้เข้าชมฟรีเพียงวันเดียวก่อนเปิดจริง ทำให้มีคนจำนวนมหาศาลทั้งชาวฝรั่งเศสเองและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก มายืนต่อคิวรอจนแถวยาวขดไปสามมุมถนน
จริงๆแล้วเราตั้งใจจะไปรอตั้งแต่ 9 โมงเช้าตามเวลาเปิด แต่นาฬิกาไม่ปลุก เลยตัดสินใจไปหาข้าวกินและทำธุระนู่นนี่ก่อน แล้วไปต่อคิวตอนประมาณบ่าย 3โมง ยืนรอคิวจนถึง 6โมงเย็น เค้าทำท่าจะปิดไม่ให้เข้าแล้ว แต่โชคดีมีมาดามฝรั่งโวยวายเถียงกับเจ้าหน้าที่ใหญ่โต จนสุดท้ายมีเจ้าหน้าที่มาเปิดให้เข้าไปเป็นล็อตสุดท้ายพอดี นึกว่าจะต่อคิวเก้อซะแล้ว...
บอกก่อนว่า สถานที่ตั้งของ YSL Museum ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนน Champs-Elysées อันโด่งดังนี้ เคยเป็นที่ทำการและเป็นห้องเสื้อของ Yves Saint Laurent จริงๆ ตั้งแต่ปี 1974 - 2002 แล้วมาปิดตัวลงภายหลังเพื่อทำเป็น Pierre Bergé - Yves Saint Laurent
Foundation แทน
Foundation แทน
มิวเซียมนี้ไม่ใหญ่นัก ใช้เวลาเดินประมาณ 45 นาทีก็ดูครบ
พอเข้าไปด้านใน แน่นอนว่าต้องเจอด่านตรวจกระเป๋าก่อน แล้วก็ผ่านเข้าไปในห้องแรก ซึ่งเป็นห้องโถงที่ในอดีตเคยใช้เป็นโถงต้อนรับลูกค้าที่มาตัดชุด และยังเคยใช้เป็นที่เดินแฟชั่นจนถึงปี 1976 ด้วย โถงนี้ปัจจุบันถูกตกแต่งไปด้วยรูปของ Yves Saint Laurent รอบๆ ส่วนบริเวณด้านหน้ามีจอฉายสารคดี และมีเก้าอี้ให้นั่งชม
พอเข้าไปด้านใน แน่นอนว่าต้องเจอด่านตรวจกระเป๋าก่อน แล้วก็ผ่านเข้าไปในห้องแรก ซึ่งเป็นห้องโถงที่ในอดีตเคยใช้เป็นโถงต้อนรับลูกค้าที่มาตัดชุด และยังเคยใช้เป็นที่เดินแฟชั่นจนถึงปี 1976 ด้วย โถงนี้ปัจจุบันถูกตกแต่งไปด้วยรูปของ Yves Saint Laurent รอบๆ ส่วนบริเวณด้านหน้ามีจอฉายสารคดี และมีเก้าอี้ให้นั่งชม
ถัดมา ก็จะเป็นส่วนที่แสดงถึง STYLE ที่กำหนดนิยามความเป็น Yves Saint Laurent แบบที่เราคุ้นเคยกันดี นั่นก็คือสไตล์ที่เอาความเป็น Masculinity มาดัดแปลงให้เข้ากับหุ่นของสตรี ผสมผสานความเรียบง่าย (Simplicity) กับความงามสง่า (Elegance) เข้าด้วยกัน
โซนต่อมา เป็นการแสดงการกำเนิดของคอลเลคชั่นต่างๆ โดยเราจะได้เห็นแบบร่างของชุดและตัวอย่างผ้าที่จะนำมาใช้ รวมถึงบอร์ดของแต่ละคอลเลคชั่น
ส่วนที่ 4 คือส่วนของ Savoir-faire ที่เป็นการจัดแสดงผลงานที่ใช้เทคนิคต่างๆ ที่เกิดจากการผสมผสาน collaboration ระหว่างงานตัดเย็บขั้นสูงกับงานฝีมือชนิดอื่นๆ เช่นงานภาพพิมพ์ งานทอผ้า งานปัก
ถัดมาเป็นโซน Exoticism เป็นการแสดงผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากต่างประเทศ ซึ่งแรงบันดาลใจเหล่านี้ เกิดมาจากการเดินทางท่องเที่ยวในจินตนาการผ่านการอ่านหนังสือของ Yves Saint Laurent ดังที่เขากล่าวไว้ว่า การเดินทางที่สวยงามที่สุดของเขา เกิดขึ้นผ่านหนังสือ บนโซฟา ในห้องนั่งเล่นของเขา
โซนที่ 6 เป็นห้องชมหนังสั้นเกี่ยวกับชีวิตและความสัมพันธ์ของ Yves Saint Laurent กับ Pierre Bergé ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นหุ้นส่วนของ Yves Saint Laurent แต่อันนี้เราไม่ได้เข้าไปดูเพราะมันเลยเวลาฉายของรอบสุดท้ายไปแล้ว :(
ส่วนโซนถัดมาเป็นส่วนที่แสดงชุดที่มาจากการศึกษาแฟชั่นในยุคต่างๆ เช่น ชุดของสตรีในยุคกลาง, ยุค Renaissance, ชุดของขุนนางชนชั้นสูงในศตวรรษที่ 18, หรือกระโปรงสุ่มในศตวรรษที่ 19 มาประยุกต์
ถัดมาคือโซนที่ชอบมาก นั่นก็คือ Studio ทำงานของ Yves Saint Laurent ซึ่งเป็นห้องมีการตกแต่งที่แตกต่างกับส่วนอื่นๆ เพราะเป็นบรรยากาศการทำงานที่เขาต้องการ คือมีพื้นที่กว้าง สว่าง และเงียบสงบ ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกทั้งหมด
โซนที่ 9 มีฉาย vdo ทั้งหมด 6 เรื่อง ที่เล่าถึงการทำงานขั้นตอนต่างๆในห้องเสื้อแห่งนี้ ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้อง เป็นการแสดงชุดที่ได้แรงบันดาลใจจากผลงานทางศิลปะของศิลปินแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจิตรกร นักเขียน นักประพันธ์เพลง และนักเต้น เช่นตัวอย่างในภาพด้านล่างขวา คือเสื้อลายดอกทานตะวันที่มาจากผลงานชุด Sunflowers ของ Van Gogh นั่นเอง
ถัดไปเป็นตู้แสดงเครื่องประดับ เพราะสำหรับ Yves Saint Laurent นั้น เครื่องประดับถือเป็นส่วนสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นหมวก สร้อยคอ ตุ้มหู ถุงมือ รองเท้า เขากล่าวไว้ว่า เครื่องประดับช่วยเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้า ดั่งเช่นเสื้อผ้าช่วยเปลี่ยนแปลงสตรี
ผนังฝั่งตรงข้าม จะเป็นผนังที่รวบรวมผลงานการวาดภาพของ Yves Saint Laurent ที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่ไม่จำกัดเพียงแค่งานออกแบบ Haute couture เท่านั้น ยังมีทั้งงานวาดภาพประกอบตัวละครและฉากในนิยาย งานออกแบบ costume และฉากสำหรับการแสดงละครเวทีด้วย
ปิดท้ายก่อนจะวนออกมายังทางออก ด้วยร้านขายของที่ระลึก ซึ่งมีทั้งหนังสือแฟชั่น ชีวประวัติ สมุดโน้ต โปสการ์ดน่ารักๆ และของกระจุกกระจิกให้เราซื้อติดไม้ติดมือกลับไป
นับว่าเป็น Museum ที่สวยงามตามท้องเรื่อง ถึงแม้จะไม่ใหญ่มากนัก แต่สำหรับคนที่สนใจแฟชั่นก็น่าจะประทับใจพอสมควร ส่วนคนทั่วไปก็เข้าชมได้เพลินๆ มีเสื้อผ้าเครื่องประดับสวยๆงามๆให้ดู และภายในเค้าก็อนุญาตให้ถ่ายรูปได้หมดโดยงดใช้แฟลช
แม้ว่ารูปที่ลงให้ดูนี้ก็เกือบจะ 80% ของทั้งหมดแล้ว แต่แน่นอนว่ามันย่อมเทียบไม่ได้กับการเห็นของจริงอยู่ดีเนอะ
แม้ว่ารูปที่ลงให้ดูนี้ก็เกือบจะ 80% ของทั้งหมดแล้ว แต่แน่นอนว่ามันย่อมเทียบไม่ได้กับการเห็นของจริงอยู่ดีเนอะ
สำหรับราคาเข้าชมปกติอยู่ที่ 10 ยูโร
เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ยกเว้น วันจันทร์
Address: 5 Avenue Marceau, Paris 16e